Wednesday, December 8, 2010

Class 5 : Technology and Economic Trends and the Productivity Paradox


 Technology and Economic Trends and the Productivity Paradox
Moore’s law (Moore หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Intel) ได้กล่าวไว้ว่า ในอนาคต พลังของ computer chip จะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ขณะที่ต้นทุนไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย องค์กรจึงมีโอกาสที่จะซื้อของดีในราคาถูกได้ ส่งผลให้ Price-to-Performance Ratio จะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง technology ก็จะถึงขีดจำกัด ไม่สามารถพัฒนาได้ต่อไป ต้องเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยอื่นแทน
เมื่อเทคโนโลยีพัฒนา ทำให้เกิด Productivity  มากขึ้นในองค์กร จะมีผลให้คนตกงานมากขึ้นหรือไม่?
คำตอบคือ อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ วิธีแก้ปัญหาคือ ให้พนักงานไปเรียนรู้เพิ่มเติม เสริมทักษะด้านอื่นที่ computer ไม่สามารถทำได้

Productivity Paradox : ความขัดแย้งระหว่าง computer power ที่เพิ่มขึ้น แต่ productivity ที่ได้กลับน้อยกว่า หรือไม่มากเท่าที่คาดหวัง อาจเป็นเพราะ productivity มีความยากในการประเมิน หรือบางทีต้องใช้เวลากว่าจะเห็นเป็นรูปธรรม หรืออาจเป็นเพราะการลงทุนในส่วนที่จะเพิ่ม Productivity นั้นมีต้นทุนสูง ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจึงอาจจะไป offset กับต้นทุนที่ใช้ไป และก็อาจเป็นไปได้ว่า การใช้ IT system อาจต่างจากแผนที่เราวางไว้ ซึ่งอาจมีเรื่องกฎหมาย หรือแรงงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ performance ไม่เป็นไปตามที่คาด

Does Productivity Paradox Still Matter? : ในมุมมองขององค์กร  สิ่งสำคัญคือระบบนั้นสามารถก่อให้เกิด productivity แก่องค์กรโดยรวมได้หรือไม่ ซึ่งในที่นี้สามารถประเมินเป็น  2 ลักษณะ คือ
Direct impact คือผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรง เห็นได้ชัด  เช่น ลด cost ในการติดต่อกับ supplier, ค่ากระดาษ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น
Second-order impact คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นทางอ้อม อาจไม่ใช่การลด cost โดยตรง หรืออาจเกี่ยวข้องกับการได้รับ market share เพิ่มขึ้น เช่น K-Bank พัฒนาระบบ IT จนกลายเป็นจุดขายของ Brand ว่าเป็นธนาคารที่มีความ High-Tech นอกจากจะได้ market share ในส่วนที่เป็นลูกค้าที่ชื่นชอบ technology แล้ว ยังทำให้ลูกค้าเดิมได้รับบริการที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ามีความพึงพอใจในบริการมากยิ่งขึ้น
Evaluating IT Investments: Needs, Benefits, Issues, and Traditional Methods
Why justify IT investments? : ในอดีต บางองค์กรมีการลงทุนใน IT โดยไม่ได้คำนึงถึงความจำเป็นหรือประเมินความเหมาะสมของโครงการ ส่งผลให้เกิดความกดดันทางการเงินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่การลงทุนนั้นไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น CIO จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสื่อสารให้องค์กรโดยรวมมีความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของ IT เพื่อให้สามารถลงทุนใน IT ได้
ในการประเมินการลงทุนในระบบ IT นั้น องค์กรควรประเมินถึงระดับการแข่งขันทางธุรกิจว่าแข่งขันสูงมากเพียงใด ก่อนจะลงทุน นอกจากนี้เมื่อลงทุนไปแล้วก็ควรมีการติดตาม ดูและและประเมินย่างสม่ำเสมอถึงความสำเร็จของการนำระบบ IT ไปใช้แก้ปัญหา และควรให้รางวัลจูงใจกลุ่มคนที่ทำงานหากประสบความสำเร็จ
แต่ทั้งนี้ ก็มีProject บางประเภทที่ม่จำเป็นต้อง justify คือ
1. project ที่ใช้เงินลงทุนน้อยมาก
2. project นั้นจัดว่าเป็น infrastructure
3. project นั้นเป็นงานที่นายสั่ง
4. ข้อมูลในการตัดสินไม่เพียงพอ

Difficulties in Measuring Productivity & Performance Gains
1.ไม่สามารถกำหนด/ประเมินสิ่งที่กำลังประเมินได้  บางอย่างเป็น second-order impact ซึ่งวัดยาก อาจแก้ปัญหาโดยใช้ KPI
2.Time lag คือ productivity เกิดขึ้นช้า ทำให้วัด ณ ขณะนี้ไม่ได้ อาจแก้โดยวัดหลังจากที่ระบบ run ไปแล้ว หรือวัดเป็น periodic
3.วัดความสัมพันธ์ได้ยาก ไม่รู้ว่าตรงไหนที่มีผลต่อกัน

Intangible benefits : ประเมินเป็นตัวเงินได้ยาก เช่น สินค้าเข้าตลาดเร็วขึ้น ความพึงพอใจของลูกค้า
Handling intangible benefit : สามารถทำได้โดยประเมินอย่างคร่าวถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น หากประเมิน intangible benefit สูงไป จะทำให้สูญเสียโอกาสในการนำเงินไปลงทุนในส่วนอื่น แต่ถ้าประเมินต่ำไปก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสลงทุนใน project นั้น นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นได้แก่
- Think broadly and softly มองหา benefit อื่นๆ เช่น ลูกค้ามีความซื่อสัตย์กับองค์กรมากขึ้น
- Pay your freight first มองผลประโยชน์ระยะสั้น สนใจอันที่ได้ชัวร์
- Follow the unanticipated ให้เปิดใจในการมอง เปิดโอกาสให้คนอื่นช่วยคิด เช่น เลย์ ให้คนช่วยคิดสูตรให้

Cost of IT Investment : Fixed cost ต้นทุนแรกเริ่มตั้งแต่ได้ระบบ IT มา เช่น infrastructure ที่ต้องซื้อเพื่อให้ระบบใช้งานได้ มักจะเป็น cost ที่เกิดขึ้นในปีแรก และ Transaction cost ได้แก่ ต้นทุนในการ search สินค้า, ต้นทุนในการได้ข้อมูลมา, ต้นทุนในการต่อรอง, ต้นทุนในการตัดสินใจว่าอนุมัติการซื้อ, ต้นทุนในการ monitor ตรวจสอบว่าสินค้า/บริการอยู่ในมาตราฐ่านที่กำหนด

Revenue models generated by IT&web
Sales รายได้จากการขาย ใช้เป็นช่องทางในการซื้อขาย เช่น e-commerce
Transaction fees เป็นรายได้จากปริมาณารการเกิดการซื้อขายสินค้ากันใน web
Subscription fees เป็นรายได้จากลูกค้าที่ต้องการใช้งานแบบ premium
Advertising fees เป็นรายได้จากการยอมให้ติด banner โฆษณา
Affiliate fees เป็นรายได้จากการที่ลูกค้าซื้อสินค้าโดยคลิกผ่าน banner ของเรา ก็จะได้เงิน

Cost-Benefit Analysis : ควรจะลงทุนก็ต่อเมื่อมี benefit มากกว่า cost โดยต้องประเมิน benefit ให้เป็นตัวเงิน ทั้งนี้ benefit ที่ใช้ประเมินควรครอบคลุมไปทั้งหมด คือ Direct benefit , Indirect Benefit และ Intangible Benefit
2 ขั้นตอนของการทำ Cost-Benefit Analysis
1.identify cost และ benefit ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
2.วิเคราะห์ให้เป็น common unit คือเป็นตัวเงินชัดเจน

Cash Flow Forecasting : เป็นการประเมินรายได้และรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจลงทุนใน project ต่างๆ ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
Net profit ประเมินจากกำไรรวมทั้ง project ข้อเสียคือไม่คำนึงถึงเงินลงทุน และค่าตามเวลา
Payback period ประเมินจากระยะเวลาในการคืนทุน โดยไม่คำนึงถึง net profit ที่เกิดขึ้น
Return on Investment (ROI) ประเมินจากกำไรโดยเฉลี่ยเป็นรายปีกับต้นทุนการลงทุน ข้อเสียคือ ไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าตามเวลา
Net present value (NPV) สะท้อนมูลค่าของเงินตามเวลา ความยากอยู่ที่การเลือกใช้ discount rate ที่เหมาะสม discount rate ที่ต่างกันจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุน
Interest rate of return (IRR) สะท้อนมูลค่าของเงินตามเวลา เป็น rate ที่ทำให้ NPV เป็น 0 สามารถใช้เปรียบเทียบกับโครงการลงทุนอื่นๆได้


No comments:

Post a Comment